เมื่อปวดท้อง! ควรทานอาหารอะไร? เพื่อช่วยเบาอาการ

อาการ ปวดท้อง เป็นอาการทุกคนมักต้องประสบพบเจอ และมีสาเหตุที่แตกต่างกัน เราจะมีวิธีการรับมืออาการ ปวดท้อง นี้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องพึ่งยารักษา

ทานกล้วยมีผลต่อครรภ์หรือไม่

สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ การ ทานกล้วยมีผลต่อครรภ์ หรือเด็กในครรภ์หรือไม่? เนื่องจากกล้วยมีเอนไซม์บางชนิดที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้…

คุณแม่มีครรภ์ทานกล้วยดีอย่างไร?

มีครรภ์ทานกล้วยดีอย่างไร

ทานกล้วยระหว่างตั้งครรภ์ดีไหม? กล้วยเป็นแหล่งรวมคาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหาร ไขมันที่จำเป็น เช่น โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ช่วยให้ลูกในครรภ์ร่างกายเติบโต

แร่ธาตุและวิตามินในกล้วยดิบ

แร่ธาตุในกล้วยดิบ

ในกล้วยดิบนั้นอุดมไปด้วยสารรอาหาร แร่ธาตุ และวิตามินต่างๆมากมาย วันนี้เราจะพามาแนะนำประโยชน์สารอาหารในกล้วยดิบ หากคุณรับประทานแล้วจะมีสุขภาพที่ดีได้อย่างไร 1.โพแทสเซียม การทานโพแทสเซียมนั้นจะช่วยให้การทำงานของหัวใจเต้นในจังหวะที่ปกติ และช่วยควบคุมความสมดุลของน้ำในร่างกาย ช่วยลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยนำส่งออกซิเจนไปเลี้ยงที่สมอง และช่วยทำงานของระบบกล้ามเนื้อ 2.วิตามินซี ในกล้วยจะมีวิตามินต่างๆ รวมถึงวิตามินซีด้วย ประโยชน์ของวิตามินซีนั้นก็มีมากมายเช่นกัน ช่วยชะลอวัยให้ผิวเนียนใสเป็นธรรมชาติ  ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง แถมยังช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด ป้องกันปัญหาเลือดออกตามไรฟัน  และช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดอีกด้วย 3.วิตามินบี 6 ประโยชน์ของวิตามินบี 6 นั้นจะช่วยให้เสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย สามารถชะลอวัยได้ ช่วยให้ร่างกายดูซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น และยังลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อในเวลากลางคืน และหากร่างกายขาดวิตามินบี 6 ทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ 4.คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่จำเป็นต้องร่างกาย ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกายให้สามารถขยับเขยื้อนได้ หากเรามีอาการป่วยสารอาหารตัวนี้จะเป็นแหล่งให้พลังงานที่สำคัญที่ทำให้เรามีเรี่ยวแรง 5.แมงกานีส แมงกานีสเป็นแร่ธาตุที่อยู่ในร่างกายของคนในวัยผู้ใหญ่ ช่วยกระตุ้นน้ำย่อยในการนำวิตามินต่างๆมาใช้ประโยชน์ในร่างกาย และสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างของกระดูกและมีความสำคัญในการผลิตน้ำนมของหญิงที่ตั้งครรภ์ ช่วยผลิตฮอร์โมนเพศอีกด้วย การรับประทานกล้วยดิบเป็นประจำท่านก็จะได้รับประโยชน์จากแร่ธาตุดังกล่าว การทานกล้วยดิบประจำทุกวันไม่มีผลเสียต่อร่างกายของเราแถมยังได้ประโยชน์อีกด้วย

แป้งต้านทานการย่อยในกล้วยดิบคืออะไร

แป้งต้านทานย่อยในกล้วยดิบ

องค์ประกอบในกล้วยดิบนั้นมีสารอาหารมากมายประกอบไปด้วย แป้งต้านทานการย่อยชนิดที่2 คาร์โบไฮเดรต สารเทนนิน เส้นใยอาหาร  วิตามิน A วิตามิน B6 และวิตามิน C ซึ่งวันนี้เราจะมีอธิบายให้เข้าใจถึงหลักของแป้งต้านทานการย่อยในกล้วยดิบว่ามีประโยชน์อย่างไรในต่อลำไส่ใหญ่ และกระเพาะอาหาร แป้งต้านทานการย่อย (Resistant Starch) คือ เป็นแป้งที่มีประโยชน์ต่อต่อร่างกายและยังมีประโยชน์ต่อสำไส้ใหญ่ เนื่องจากแป้งต้านทานการย่อยไม่ถูกย่อยที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กทำให้ผ่านเข้าไปถึงลำไส้ใหญ่มีคุณสมบัติเทียบเท่าเส้นใยอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นและระบบหมุนเวียนเลือดดีขึ้น เมื่อแป้งไม่ได้ถูกย่อยก็จะมาถึงลำไส้ใหญ่ทำให้ไปกระตุ้นให้เกิดการหมักโดยจุลินทรีย์บางชนิด ที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้ใหญ่ ที่เรียกว่า โพรไบโอติก ทำให้เกิดเป็นกรดไขมันชนิดสายสั้น ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายและระทางเดินอาหารเป็นอย่างมาก ประโยชน์ของแป้งต้านทานการย่อย 1.ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่           ในลำไส้ใหญ่เป็นแหล่งสะสมของเสียและจุลินทรีย์ต่างๆหลายชนิด ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดมะเร็งได้มากว่าระบบทางเดินอาหารในส่วนอื่นๆ แป้งต้านทานการย่อยเมื่อเกิดการหมักโดยจุลินทรีย์แล้วทำให้เกิดกระบวนการที่ส่งผลให้ลดการเกิดสารที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ ซึ่งจากกระบวนการที่กล่าวจะได้กรดไขมันชนิดสั้นที่ไปช่วยยับยั้งเอนไซม์ของจุลินทรีย์บางชนิดที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ และจุลินทรีย์ช่วยสลายเส้นใยอาหารทำให้เกิดการเพิ่มขยายมวลอุจจาระและกระตุ้นให้เกิดการขับถ่ายช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ 2.ลดน้ำตาลในเลือด           ค่าดัชนีน้ำตาล (GI) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหารและมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด การรับประทานอาหารที่มีค่า GI ต่ำจะทำให้ค่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากการับประทานอาหารที่มีค่า GI ต่ำจะช่วยให้เซลล์ร่างกายใช้อินซูลินในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เซลล์จะรับน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานมากขึ้น ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง 3.เป็นพรีไบโอติก           แป้งต้านทานการย่อยจัดแป็นพรีไบโอติกชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถย่อยได้ที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ซึ่งถูกหมักโดยแบคทีเรียที่ลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดเป็นสภาวะเป็นกรดส่งผลให้เกิดการยับยั้งของจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคได้ 4.ลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด           […]

5 พืชสมุนไพรช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร

รักษาโรคกระเพาะอาหาร อาการโรคกระเพาะอาหารหากใครกำลังประสบปัญหาอยู่คงทราบดีว่ามันทรมานแค่ไหน สาเหตุของโรคก็มีหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย การหลั่งกรดที่มากเกินไป การทานอาหารไม่ตรงเวลา ทานอาหารที่มีรสจัด หรือทานเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ หรือแม้กระทั่งการทานยาแก้ปวด เป็นต้น การทานยาจึงเป็นทางเลือกที่หลายๆท่านทำประจำ แต่รู้หรือไม่ว่าเราสามารถทานพืชผัก ผลไม้เพื่อรักษาอาการดังกล่าวได้ แถมได้ประโยชน์ต่อร่างกายในเรื่องอื่นอีกด้วย ไปดูกันดีกว่าว่ามีพืชชนิดไหนบ้างที่ช่วยรักษาอาการโรคกระเพาะ 1. กล้วยดิบ รู้หรือไม่ว่าการทานกล้วยดิบนั้นจะช่วยรักษาโรคกระเพาะของเราได้เนื่องจากกล้วยดิบมีกลุ่มสารที่เรียกว่า แทนนิน ที่เข้าช่วยยับยั้งการเกิดแบตทีเรียในกระเพาะอาหาร และยังมี เซโรนิน ที่ไปกระตุ้นสารมาเคลือบกระเพาะอาหาร กล้วยดิบจึงทำหน้าที่ทั้งป้องกันและช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารอีกด้วยประโยชน์ของกล้วยดิบ นอกจากนั้นกล้วยดิบยังช่วยสำหรับผู้ที่เป็นกรดไหลย้อนอีกด้วยเพราะว่ากล้วยดิบจะทำให้กระเพาะอาหารหลั่งสารที่ไม่มากจนเกินไป ทำให้ผู้ป่วยที่เป็นกรดไหลย้อนอาการดีขึ้น นอกจากนั้นในตัวกล้วยดิบยังมีไฟเบอร์สูงช่วยเรื่องระบบขับถ่ายอีกด้วย พร้อมทั้งเหมาะกับผู่ป่วยเบาหวานเพราะกล้วยดิบจะเข้าไปช่วยควบคุมน้ำตาลให้เข้าสู่กระแสเดือดที่เหมาะสม และช่วยเรื่องอาการท้องเสียหากใครเกิดอาการท้องเสียสามารถทานผงกล้วยเพื่อยับยั้งอาการท้องเสียได้ 2. กระเจี๊ยบเขียว สารในกระเจี๊ยบเขียวนั้นจะช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้เพียงทานกระเจี๊ยบเขียวหลังอาหารวันละ 3-4 เวลา และมีผลการวิจัยว่าตัวกระเจี๊ยบเขียวนั้นช่วยยับยั้บเชื้อ H.pylory ได้ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย แถมยังเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน หากใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่ายตัวเมือกในกระเจี๊ยบเขียวยังช่วยเรื่องขับถ่ายเพราะจะทำให้กก้อนอุจจาระอ่อนตัว ขับถ่านได้ง่าย และมีสารโฟเลตสูงช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงเหมาะกับสตรีมีครรภ์ 3.ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรอีกตัวที่ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารการทานนั้นก็สามารถหาทานได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นแบบผงหรือแคปซูล แต่ข้อระวังการทานขมิ้นชันนั้น บางคนอาจจะมีอาการแพ้ได้ เช่น รู้สึกปวดหัว คลื่นไส้ นอนไม่หลับ ควรหยุดรับประทานทันทีประโยชน์ขมิ้นชัน ช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย และขับถ่ายพิษออก เหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอดเพราะจะช่วยขับน้ำนมออกมา […]

โรคกรดไหลย้อน – GERD

โรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนหรือเรียกอีกอย่างว่า โรคเกิร์ด (Gastroesophageal reflux disease – GERD) หมายถึง ภาวะที่น้ำย่อยในกระเพาะอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งไหลย้อนกลับขึ้นไประคายเคืองในหลอดอาหารและลำคอ ทำให้เกิดอาการแสบร้อนตรงกลางอก และลำคอ โรคกรดไหลย้อนเป็นโรคที่พบได้ประมาณ 10-15% ของผู้ที่มีอาการอาหารไม่ย่อย (Syspepsia) เป็นโรคที่สามารถพบได้ในคนทุกอายุ ไม่ว่าจะตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยจะพบอัตราการเกิดสูงขึ้นในคนที่อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจพบได้ในเด็กเล็กและคนวัยหนุ่มสาวได้ด้วยเช่นกัน สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน เกิดจากภาวะหย่อนสมรรถภาพของหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหาร (Lower esophagel sphincter – LES) จึงทำให้กล้ามเนื้อหูรูดส่วนนี้ปิดไม่สนิท ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหารและลำคอ ทำให้เกิดอาการแสบร้อนตรงกลางอกและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน 1. หูรูดส่วนล่างของหลอดอาหารเสื่อมตามอายุ หรือหูรูดที่ยังเจริญไม่เต็มที่ในทารก สำหรับในผู้สูงอายุ เซลล์ต่างๆ ทุกชนิดของร่างกายรวมทั้งหูรูดและกระเพาะอาหารจะค่อยๆ เสื่อมลง ดังนั้นจึงทำให้หูรูดนี้หย่อนสมรรถภาพลง เมื่อเรากินอาหารเข้าไป น้ำย่อยในกระเพาะอาหารจะดันย้อนกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารได้ง่าย ส่วนในเด็กทารกจะเกิดจากหูรูดส่วนนี้ยังเจริญไม่เต็มที่ ทำให้การทำงานหย่อนยาน เด็กทารกจึงมีการขย้อนนมและอาหารออกมาแต่อาการต่างๆนี้ มักจะหายไปเองเมื่อเด็กโตขึ้น เพราะกล้ามเนื้อหูรูดจะเริ่มแข็งแรงมากขึ้น 2. มีปริมาณกรดที่ค้างอยู่ในหลอดอาหารนานกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากกลไกในการกำจัดกรดในหลอดอาหารนั้นผิดปกติ เช่น […]

ผงกล้วยดิบ

ผงกล้วยดิบ ช่วยอะไรบ้าง นานไหมกว่าจะหายขาดกล้วยดิบนั้นมีสรรพคุณทางยาในการช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอาหาร ป้องกันมะเร็งลำไส้ สั่งซื้อโทร : 0624695147

กล้วยดิบ ดีต่อสุขภาพอย่างไร?

  หากจะถามถึงผลไม้ยอดนิยมที่คนนิยมรับประทานกัน กล้วย จะต้องเป็นลำดับต้นๆ ที่คนนึกถึง เพราะรสชาติที่อร่อย และหาทานได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นกล้วยยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นมากมาย คนส่วนใหญ่รับประทานกล้วยเมื่อมีสีเหลืองและสุก แต่จะมีใครรู้บ้างว่ากล้วยดิบนั้นก็สามารถรับประทานได้ แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุไม่ต่างจากกล้วยสุกเลย ความแตกต่างระหว่าง กล้วยดิบ และ กล้วยสุก โดยทั่วไปแล้วกล้วยจะเก็บเกี่ยวในขณะที่ยังคงเป็นสีเขียว เพื่อการยืดอายุการเก็บรักษาให้นานไม่สุกเกิน ก่อนที่จะถึงมือลูกค้า นอกเหนือจากความแตกต่างของสีแล้ว กล้วยดิบและกล้วยสุกยังมีความแตกต่างในเรื่องอื่นๆอีกด้วย รสชาติ : กล้วยดิบจะมีความหวานน้อย และมีรสฝาด ส่วนกล้วยสุกนั้นจะมีรสชาติหวาน พื้นผิว : กล้วยดิบมีเปลือกที่แข็งกว่ากล้วยสุก มีบางคนนิยามว่าเนื้อของกล้วยดิบเหมือนข้าวเหนียว ส่วนประกอบ : กล้วยดิบมีแป้งสูงกว่า และเมื่อกล้วยดิบแป้งจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาล สิ่งสำคัญ กล้วยดิบและกล้วยสุก มีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกัน กล้วยดิบมีปริมาณแป้งสูง ส่วนกล้วยสุกนั้น มีปริมาณน้ำตาลที่สูง การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบคาร์โบไฮเดรตของกล้วยดิบและกล้วยสุก กล้วยดิบมีแป้งเป็นส่วนประกอบใหญ่ซึ่งคิดเป็น 70-80% ของน้ำหนักแห้ง แป้งส่วนใหญ่นั้นมีคุณสมบัติคือไม่ถูกย่อยในลำไส้เล็ก ดังนั้นจึงจัดเป็นใยอาหารที่ช่วยเรื่องการขับถ่าย อย่างไรก็ตามกล้วยจะสูญเสียแป้งเมื่อเกิดกระบวนการสุก ในระหว่างการทำให้สุกแป้งจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอย่างง่าย (ซูโครสกลูโคสและฟรุกโตส) ที่น่าสนใจคือกล้วยสุกมีปริมาณแป้งเพียง  1% ของน้ำหนัก กล้วยดิบเป็นแหล่งของเพกตินที่ดี ซึ่งเพกตินก็คือเส้นใยอาหาร ซึ่งเส้นใยอาหารประเภทนี้พบได้ในผลไม้ โดยจะช่วยในเรื่องโครงสร้างและความแข็งของผลกล้วยดิบ […]

thThai